วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติของอินเตอร์เน็ต ( History of Internet )



กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ( Department of Defense : DoD) เป็นผู้เริ่มต้นในการคิดค้นและวิจัยเทคโนโลยีต่างๆในการสื่อสารข้อมูล อันเนื่องมาจากความต้องการที่จะได้รับชัยชนะในสงคราม โดยช่วงที่เกิดสงครามโลกขึ้นระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯมีความต้องการที่จะจัดตั้งศูนย์บัญชาการกลางขึ้น โดยจะต้องทนทานและอยู่รอดได้ แม้กระทั่งถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ แต่ระบบโทรศัพท์ธรรมดาที่มีอยู่นั้นยังไม่สามารถนำมาใช้งานได้เพราะง่ายและไม่ทนทานต่อการถูกโจมตี ถ้าหากชุมสายขาดหรือโดนทำลายเป็นผลทำให้ไม่สามารถสื่อสารกันได้เลย เนื่องจากยังเป็นโครงสร้างในลักษณะของ Circuit-Switching ทำให้ในช่วงกลางปี 1960 กระทรวงกลาโหมสหรัฐจึงตั้งหน่วยงานหนึ่งขึ้นมาเพื่อวิจัยและทดลองโดยเฉพาะทางขึ้น ใช้ชื่อว่า ARPA (Advance Research Project Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ไม่มีนักวิจัย เป็นเพียงตัวกลางในการประสานงานและออกนโยบายระหว่างหน่วยงานทางทหารและสถาบันการศึกษา โดยการกำหนดหัวข้อหลักที่กระทรวงกลาโหมต้องการแล้วมอบหมายในลักษณะทุนการวิจัยให้กับนักวิจัย
ในปีคศ.1969 ARPA ได้มีความตั้งใจที่จะเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานทางทหารเข้าด้วยกันทั้งกองทัพบก ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์ของ DEC กองทัพเรือ ใช้คอมพิวเตอร์ของ Unisys และกองทัพอากาศใช้ของ IBM และนอกจากนี้ยังมีนักวิจัยและมหาวิทยาลัยเข้าร่วมอีก 4 หน่วยงาน คือ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยยูทาห์ มหาวิทยาลัยซานตา บาบารา และ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจอริส ซึ่งรวมกันเป็นเครือข่ายภายในประเทศขึ้นผ่านทางสายโทรศัพท์ ซึ่งเรียกเครือข่ายนี้ว่า ARPAnet ซึ่งในขณะนั้นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่นำมาเชื่อมต่อกัน จะมีชื่อเรียกว่า IMPs (Interface Message Processors) โดยมีการเชื่อมต่อกันผ่านซอฟแวร์ตัวหนึ่ง ชื่อ NCP (Network Control Protocol) ซึ่งนับเป็นโปรโตคอลแรกของโลก โดยมีพื้นฐานการทำงานเป็นแบบ Packet-Switching โดยการสื่อสารจะประกอบไปด้วย IMP อย่างน้อย 2 แห่ง ติดต่อกันโดยตรงผ่านดาต้าแกรม ในกรณีที่ IMP ใดไม่สามารถใช้งานได้ ข้อมูลที่ค้างอยู่ภายในดาต้าแกรมจะถูกนำส่งไปยังปลายทางได้โดยอัตโนมัติ เครื่องต้นทาง (Host) จะสามารถส่งข้อมูลผ่านไปยังปลายทางผ่านทาง IMP หลังจากนั้น IMP ก็จะนำส่งข้อมูลดังกล่าวไปยัง IMP ถัดไปในลักษณะของ Store-and-forward โดยจะส่งไปเรื่อยๆจนถึงจุดหมายอย่างอิสระ
ARPA ยังสนับสนุนให้มีการติดต่อสื่อสารผ่านทางเครือข่ายแบบอื่นๆ อาทิเช่น ผ่านดาวเทียว โทรศัพท์ติดตามตัว เป็นต้น ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในการติดต่อสื่อสารกัน แต่เนื่องจากในสมัยนั้นมีรูปแบบของเครือข่ายอยู่หลายชนิด จึงทำให้เครือข่าย ARPA ดังกล่าวไม่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายย่อยๆในหลายรูปแบบได้ ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯจึงได้ค้นคว้าโปรโตคอลใหม่ที่เหมาะสมมาแทนรูปแบบเดิม
ต่อมาในปี คศ.1972 Vint Cerf และ Bob Kahn นักวิจัยซึ่งทำงานอยู่ในโครงการ ARPA ได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีทางเครือข่าย เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้ง่ายขึ้นไม่ซับซ้อนระหว่างการส่งข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง (End-to-End Delivery) ซึ่งได้มีการตีพิมพ์เป็นเอกสารขึ้นโดยใช้ชื่อว่า Transmission Control Protocol (TCP) ว่าด้วยหลักการ Encapsulation โครงสร้างของดาต้าแกรม และการทำงานของเครื่องเกต์เวย์
หลังจากที่ออกเอกสารดังกล่าวได้ไม่นานก็มีการแบ่งการทำงานของ TCP ออกเป็นสองส่วน โดยชัดเจน คือ Transmission Control Protocol (TCP) ซึ่งจะดูแลในส่วนของการแบ่งข้อมูลเป็นหลายๆเซกเมนต์, การเรียงแพ็กเก็ตข้อมูลและการตรวจสอบความถูกต้อง และอีกส่วนหนึ่งคือ Internetworking Protocol (IP) ซึ่งจะดูแลในส่วนของการค้นหาเส้นทางพาดาต้าแกรมให้สามารถส่งไปยังปลายทางได้ถูกต้อง เพื่อให้โปรโตคอล TCP/IP ได้รับการใช้งานอย่างกว้างขวาง กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯจึงให้บรรจุโปรโตคอล TCP/IP ดังกล่าว รวมกับระบบปฎิบัติ Unix แล้วแจกจ่ายให้กับผู้อื่นต่อไป
ต่อมาได้มีการใช้งาน ARPAnet อย่างกว้างขวาง ซึ่งในขณะนั้นมี IMP อยู่ในระบบมากกว่า 200 เครื่อง ARPAnet จึงได้มีการจัดระบบโครงสร้างใหม่ โดยโอนให้อยู่ในความดูแลขององค์การโทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งมีการแยก IMP ออกมาจากเดิม 160 เครื่องเพื่อใช้ในการสื่อสารทางการทหารโดยเฉพาะ เรียกว่า MILNET และมีการนำเอาระบบ DNS เข้ามาใช้ในการติดต่อสื่อสารด้วย
คศ.1977 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (NSF) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของ ARPAnet จึงได้มีการจัดตั้งระบบเครือข่ายของตนเองขึ้นโดยใช้ชื่อว่า CNET ซึ่งเป็นแหล่งศึกษาและวิจัยสำหรับสถาบันการศึกษาต่างๆที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ ARPAnet มีศูนย์กลางอยู่ที่บริษัท BBN และสามารถเชื่อมต่อกับ ARPAnet ได้ และนอกจากนี้ยังได้มีการสนับสนุนงบประมาณในการก่อตั้งระบบเครือข่ายย่อยกว่า 20 แห่ง ทำให้หน่วยงานที่สำคัญเช่น สถาบันการศึกษา ห้องทดลองต่างๆ เชื่อมต่อเข้ากับระบบ CNET นี้ได้ และภายหลังได้เรียกระบบใหม่นี้ว่า NSFNET ซึ่งมีการเชื่อมต่ออยู่กับ ARPAnet อยู่เช่นเดิม
ในวันที่ 1 มกราคม คศ.1983 มีการประกาศมาตรฐาน TCP/IP ให้เป็นมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูล ทำให้มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อ ARPAnet เชื่อมต่อกับ NSFNET จำนวนผู้ใช้งานได้เพิ่มมากขึ้นอย่างทวีคูณ ทำให้เริ่มมีการนำเอาคำว่า Internet มาใช้งาน แทนการเรียกระบบ ARPAnet หรือ NSFNET
ผลที่ตามมาคือโครงสร้างหลักไม่สามารถรองรับปริมาณข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ จึงได้มีการออกแบบระบบเคเบิลใยแก้วขึ้น ซึ่งมีความเร็วในการส่งข้อมูล 448 Kbps และได้มีการเปลี่ยน IMP ซึ่งแต่เดิมใช้เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ธรรมดา เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แมนเฟรม IBM-RS6000s และเริ่มมีการเรียกอุปกรณ์นี้ว่า Router แทน IMP และในปี คศ. 1990 ได้มีการเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลเป็น 1.5 Mbps (มาตรฐานสาย T1)
จากอัตราการเพิ่มการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น NSF ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลจึงมีแนวความคิดที่จะชักชวนหน่วยงานจากเอกชนเข้ามาลงทุนเพิ่ม ได้แก่ MCI , IBM, MERIT เข้ามาดำเนินงาน NSFNET จึงมีการเปลี่ยนชื่อเป็น ANSNET (Advance Networks and Service) และมีการเพิ่มความเร็วการส่งข้อมูลเป็น 45 Mbps (มาตรฐานสายT3)
ในปี คศ.1995 การใช้งาน ANSNET เริ่มลดน้อยลง เนื่องจากได้มีหน่วยงานเอกชนอีกจำนวนมาก สร้างเครือข่าย IP ขนาดย่อยของตัวเองขึ้นมาใช้งาน จนภายหลัง ANSNET ถูกขายให้บริษัท America Online ทำให้เครือข่ายเดิมที่เคยเชื่อมต่อเข้ากับ ANSNET ต้องเชื่อมต่อผ่านบริษัทเอกชน และภายหลังเมื่อมีหน่วยงานเอกชนจำนวนเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็ได้มีการจัดตั้ง NAP (Network Access Point) ขึ้น เพื่อเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายย่อยของบริษัทเอกชนอื่นๆ

SONYBOND


Reference:
1. Behrouz A. Forouzan , Data Communication and Networking
2. Andrew S.Tanenbaum , Computer Network

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น