วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

จำรหัสผ่าน WiFi ไม่ได้ (Cannot remember WiFi key)

ในกรณีที่เราจำพาสเวิร์ด (Password) WiFi ที่เราเคยเชื่อมต่อไปแล้วไม่ได้
เราสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เราดู โพรไฟล์ ผ่านทาง Window UI ของ Wireless setting ได้
หรือ ถ้าเราสามารถใช้ Command Line (DOS) ได้ดังนี้

ก่อนอื่น ถ้าเราจำชื่อ SSID ได้ ก็ระบุชื่อ โพรไฟล์ได้เลย ข้ามขั้นตอนนี้ได้เลย

C:\Users\>netsh wlan show profiles

Profiles on interface Wireless Network Connection:

Group policy profiles (read only)
---------------------------------
   

User profiles
-------------
    All User Profile     : SEWLAN
    All User Profile     : SONYBOND-AP
    All User Profile     : SONYBOND
    All User Profile     : TRUE-WiFi


ถ้าหากเราทราบ SSID Profile แล้ว สามารถ ใช้คอมมาน key = clear เพื่อดูพาสเวิร์ดได้เลยครับ

C:\Users\>netsh wlan show profiles name="SONYBOND-AP" key=clear

Profile SONYBOND-AP on interface Wireless Network Connection:
=======================================================================

Applied: All User Profile

Profile information
-------------------
    Version                : 1
    Type                   : Wireless LAN
    Name                   : SONYBOND-AP
    Control options        :
        Connection mode    : Connect automatically
        Network broadcast  : Connect only if this network is broadcasting
        AutoSwitch         : Do not switch to other networks

Connectivity settings
---------------------
    Number of SSIDs        : 1
    SSID name              : "SONYBOND-AP"
    Network type           : Infrastructure
    Radio type             : [ Any Radio Type ]
    Vendor extension          : Not present

Security settings
-----------------
    Authentication         : WPA2-Personal
    Cipher                 : CCMP
    Security key           : Present
    Key Content            : isonybond

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

How to recovery password without "Break" button

ในเวลาที่เราจะเข้า Rommon เพื่อเข้าไปแก้ไขค่า Register  เราก็มักจะกด Ctrl + Break เพื่อ Interupt การ Boot ของเร้าเตอร์

แต่ปรากฎว่า คีย์บอร์ดเราไม่มีปุ่ม Break จะทำอย่างไรดี โดยเฉพาะโน๊ตบุคบางรุ่น ไม่มีปุ่ม Break

วิธีการแก้ไขคือ

โดยปกติเราตั้งค่าคอนโซลเข้าเร้าเตอร์ Baud rate เป็น 9600-8-None-1

ให้เราทำการเปลี่ยนการตั้งค่า Baud rate เป็นค่าอื่่น ตัวอย่างเช่น 384000-8-None-1

แล้วจากนั้น ให้ทำการปิดและเปิดเร้าเตอร์ตามปกติ หลังจากเร้าเตอร์เปิดสักครู่ ให้เรา กด Space bar ค้างไว้สักครู่ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณ Break เร้าเตอร์ แทนปุ่ม Break

หลังจากที่เรากด Space bar ค้างไว้สักครู่ ให้เราทำการ Disconnect console ใหม่ และเข้าอีกรอบ ด้วย Baud rate ปกติ (9600-8-None-1) แล้วกด Enter ในหน้า Console อีกครั้ง

เพียงเท่านี้ เราก็จะสามารถเข้าสู่ Rommon ของเร้าเตอร์ได้ ตามปกติ

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Telnet ซ้อน Telnet

หลายๆคน คงต้องทำงานบน เร้าเตอร์ ผ่านการ Telnet และ ถ้าหาก ในระบบของเรามีเร้าเตอร์หลายๆตัว
เราก็จะต้อง Telnet เข้าไปหลายๆรอบเป็นแน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าต้อง Telnet เข้าไปที่ Core ตัวใดตัวหนึ่งก่อน

แต่วันนี้ เราขอเสนอ Short key ในการ เข้าไปยัง เร้าเตอร์ ผ่านการ Telnet ที่ผ่านหลายๆ Session โดยที่ปกติ เราจะต้อง Log out หรือ exit ออกมาก่อน จึงจะเข้าไปคอนฟิกเร้าเตอร์ตัวก่อนหน้า ทำให้เสียเวลา ไปอย่างมาก

Short key command : Ctrl + Shift + 6 หลังจากนั้นตามด้วย x  ใช้เมื่อต้องการย้อนกลับไปเร้าเตอร์ตัวก่อนหน้า

และ ถ้าหาก เราทำการ Telnet หลาย Session เราก็สามารถเลือก Session ที่จะเข้าไปได้ โดย
Short key command : Ctrl + Shift + 6 หลังจากนั้นตามด้วยหมายเลข Session


ข้อควรระวัง วิธีนี้ เร้าเตอร์จะทำการ Active session นั้นๆ ผ่านการกด Enter ดังนั้น ถ้าหาก เราทำการกด Short Key ดังกล่าว แล้วไม่พิมพ์อะไร แล้วทำการกด Enter เร้าเตอร์นั้นก็จะทำการย้อน Session มาที่เดิม

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

TCL Script for ping test

ถ้าหากเราจะต้องทำการทดสอบ ping ไปยัง destination หลายๆ ที่ แล้ว ขี้เกียจมานั่งพิมพ์ หลายๆรอบ
ลองใช้ tcl script เข้าช่วยได้


tclsh
foreach address {
192.168.1.1
192.168.1.2
192.168.1.3 } { ping $address repeat 50 size 512 }

ไม่เพียงแต่ ping เท่านั้น เรายังสามารถใช้ tcl script ได้อีกมากมาย

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

AT Command

เพิ่มเติม AT Command ที่ใช้สำหรับสั่งการ Modem

1. at&s = Factory default
2. at&v = View current configuration
3. atdt XXX = dial to number XXX



วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ขั้นตอนการ Upgrade IOS software ของผลิตภัณฑ์ Cisco ISR G2

ปัจจุบันนี้ อุปกรณ์ Cisco นั้นได้เปลี่ยนแปลงวิธีการอัพเดท IOS ไปจากเดิม คือ แต่ก่อนเราอยากได้ IOS แบบไหน เราก็สามารถหาดาวโหลด IOS เวอร์ชั่นนั้นมาอัพเกรดได้ทันที

แต่ใน Cisco ISR G2 นั้น ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว เนื่องจาก เมื่อเราซื้ออุปกรณ์ซิสโก้มาแล้ว
ตัวระบบปฎิบัติการหรือ IOS นั้น จะเป็นตัวพื้นฐานที่สุดสำหรับอุปกรณ์นั้นๆ และถ้าหากต้องการจะอัพเกรด
ให้มีขีดความสามารถหรือฟังก์ชันเพิ่มมากขึ้น ก็จะอาศัยการซื้อ License มาอัพเกรดแทน


วิธีการ Activate License นั้น มีอยู่หลายวิธี
1.Cisco License Manager : เป็นวิธีสำหรับ Activate หลายๆอุปกรณ์พร้อมๆกัน ผ่านซอฟแวร์นี้เพียงตัวเดียว
2.Cisco License Call home : ใช้อุปกรณ์ซิสโก้นั้นๆ สมัครเองเลย โดยไม่ต้องเข้าไปขอ License file (วิธีนี้ต้องทำผ่าน Internet)
3.Cisco Product License Registration portal : คือวิธีตามด้านล่างนี้

ขั้นตอนการอัพเกรด
1.สั่งซื้อหมายเลขการอัพเกรดซอฟแวร์ โดยเลือกรุ่นและฟังก์ชันที่ต้องการใช้งาน
2.ซิสโก้จะทำการส่งหมายเลข PAK (Product Authorization Key)มาให้เรา
3.เข้าเวปไซต์ซิสโก้ www.cisco.com/go/license เพื่อทำการกรอกข้อมูลของอุปกรณ์
3.1 กรอก model ของอุปกรณ์
3.2 กรอก Serial number
3.3 กรอก หมายเลข PAK ที่ได้รับมาจากทางซิสโก้
4.หลังจากกรอกข้อมูลข้างต้นเสร็จ ทางซิสโก้ก็จะ Generate License file มาให้ (ดาวโหลด หรือ ส่งทางเมล์ก็ได้)
5.เมื่อเราได้ License file มาแล้วก็ทำการ Upload file นั้นเข้าไปยังอุปกรณ์ที่เราต้องการอัพเกรด (ซึ่งมี Model และ Serial ตรงกับข้อมูลที่กรอกไปข้างต้น) อาจอัพโหลดผ่านทาง TFTP: หรือ copy ใส่ Flash
6.ทำการ Activate บนตัวอุปกรณ์ ด้วยคำสั่ง
Router#license install flash:XXXXXXXXXXXX
7.ถ้าหากทำสำเร็จ จะมีข้อความ 1/1 Successful ปรากฎ
8.Reboot แล้วก็จะได้ IOS เวอร์ชันที่เราสั่งซื้อไป





วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ตาราง เปรียบเทียบ ADSL , Leased line และ MPLS

Topic

ADSL

Leased line

MPLS

Bandwidth Guarantee

Not Guarantee

Guarantee

Guarantee

Internet Bandwidth

Share bandwidth

Full bandwidth

Full bandwidth

Download/Upload

Asymmetric (Upload 512K)

Symmetric

Symmetric

Circuit

Shared

Private

Private

Reliability

Not stable

Stable

Stable

Equipment

Easy to failure

High performance

High performance

Price

Cheap

Expensive

Normal

Security

Low

High (Private)

High

QoS

No

Yes

Yes

IP Address

Random (Home user)

Fixed IP

Fixed IP

Customer Support

Depend on each carrier

24*7

24*7

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

Reset Password for Firewall


How to Reset password on Fortigate!!!!!!!!

1. Reboot Fortigate
2. Enter username and password following detail in 14 seconds

Username : maintainer
Password : bcpbXXXXX
Remark : XXXXX = Serial Number of Fortigate
3.Edit username / password
(Default username is admin , password is not have password (blank)






How to Reset Password firewall Juniper (SSG)

1. Reboot
2. Enter username and password
Username : Serial number of firewall
Password : Serial number of firewall
3. Password is clear to default password
(Default username is netscreen , password is netscreen)

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Trick เล็กๆน้อยๆ ในการแก้ปัญหา network

1.ถ้าหาก interface ปลายทางเป็น ethernet 10/100/1000 นั้นไม่ได้เสียบอยู่ ถ้าหากเรา show ip interface brief ดู จะพบว่า Status up แต่ protocol down ทำให้ไม่สามารถใช้งาน interface นั้นได้ ดังนั้น เราสามารถใช้คำส่ัง no keepalive เพื่อให้ interface นั้น up อยู่ตลอดเวลา เราก็จะสามารถใช้งาน interface นั้นได้ ถึงแม้จะไม่ได้เสียบสายแลนอยู่

2.ถ้าหากเราต้องการตรวจสอบจำนวนแพ็กเก็ตที่วิ่งเข้าออก interface นั้นๆ เราจะสามารถดูได้จาก การ show interface นั้นๆ ขึ้นมา แต่เวลาในการนับจำนวนแพ็กเก็ตนั้น ค่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ คือ 5 นาที จะทำการเฉลี่ยค่าแพ็กเก็ตที่วิ่งเข้าออก interface นั้นๆ เราสามารถลดเวลาดังกล่าวได้โดยใช้คำสั่ง load interval xx ซึ่ง xx คือการเวลาในหน่วยวินาที

3.ถ้าหากเราทำการจาก CE router ไปยัง PE router แล้วปรากฎว่า สามารถ ping ได้ แต่มีการหลุดเป็นช่วงๆ เล็กน้อย อาจเกิดจาก การทำ QoS ของ Carrier (ทั้งนี้การหลุดมักจะเป็น pattern เดียวกัน)

4.เนตเวิร์กใช้ได้ปกติดี เล่นอินเตอร์เน็ตได้ปกติ แต่ไม่สามารถเข้าบางเว็ปไซต์ได้ มีวิธีการเช็ค
เบื้องต้นดังนี้
4.1 เวปไซต์นั้นอาจจะถูกบล็อกหรือติดอยู่ใน blacklist อยู่
4.2 อาจเกิดการการปรับค่า mtu ไม่สอดคล้องหรือไม่เป็นมาตรฐาน (แก้ไขได้โดยปรับ mtu จาก modem ของ carrier ลองแก้โดยการปรับที่ router ก่อนได้ )
4.3 เครื่องนั้นอาจไม่ติดตั้ง ActiveX หรือพวก java script ต่างๆ

5.ในกรณีที่เราไม่สามารถเข้าไปหน้า web page ของ AP ได้นั้น เราลองตั้งค่า login http local ดูหรือยัง

6.บางครั้งเรา console เข้าไปยังอุปกรณ์ แต่ไม่มีอะไรปรากฎ ลองไปตั้งค่า RTS/CTS หรือ ปรับค่า baud rate ดู เนื่องจากอุปกรณ์แต่ละตัวอาจตั้งค่าไม่เหมือนกัน


วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

รายชื่อผู้ให้บริการ Leased line

ผู้ให้บริการ Leased line ที่ผมเคยร่วมงานด้วย มีดังนี้

1. TRUE
2. TOT
3. CAT
4. UIH ในเครือเบญจจินดา
5. SBN เครือข่ายเดียวกับ AIS
6. Symphony


แถมๆ

TT&T บริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรับสัมปทานองค์การโทรศัพท์ ถือหุ้นใหญ่โดย จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนลฯ และผู้ถือหุ้นอื่นๆ ที่ผมไม่ค่อยรู้จัก ต่อมายุคฟองสบู่แตก ก็มีเจ้าหนี้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นด้วย

Maxnet เป็นชื่อการค้า ส่วนการทำงานสังกัดบริษัท TT&T Subscribe r Services เดิมรับงานจาก TT&T เป็น subcontra ct ที่อยู่ในเครือ TT&T เอง ต่อมาทำพวก Telecom Solution เพิ่มเติมขึ้นมา และก็มาทำ ISP ซึ่งเมื่อก่อน ผู้ใช้คู่สาย TT&T ส่วนใหญ่จะใช้อินเทอร์เน็ตผ่าน Ji-Net ซึ่งเป็นบริษัทในเครือจัสมิน ช่วงก่อนที่จะเกิด Maxnet TT&T ก็เริ่มพัฒนา core network ของ ISP โดยใช้ Internet ผ่าน Ji-Net ในระยะแรก ก่อนที่จะมีสถานะเป็น ISP เต็มตัว

TTGN ตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำธุรกิจระหว่างประเทศ ได้แก่ Internet Gateway, IPLC และ IDD (โทรระหว่างประเทศ) มีวงจรออกต่างประเทศโดยเช่าใช้ของ TT&T และสร้างเองบางส่วนลงไปทางใต้ เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการที่มาเลเซียออกไปสิงคโปร์ และมี managed router ที่ต่างประเทศ สำหรับให้บริการ IIG คล้ายๆ กับ CAT IIG ส่วนการโทรต่างประเทศก็เริ่มให้บริการกับลูกค้า TT&T เป็นหลัก โดยมีรหัสกดออกต่างประเทศเป็น 102 (ส่วนการเชื่อมต่อโครงข่ายกับต่างประเทศเป็น VoIP) ส่วนลูกค้าของ TTGN IIG ดูตาม Internet Map ของ NECTEC ก็แล้วกัน

ก่อนจะไปถึง 3BB ก็เกิดการสร้าง brand Triple T ขึ้นมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง บริษัทที่ชื่อขึ้นต้นว่า Triple T บางส่วนที่ถูกเล็งเห็นว่ามีศักยภาพสูง ก็ไม่ได้อยู่ภายใต้ปีกของ TT&T อีกต่อไป และเมื่อมีแนวโน้มว่าบริษัท TT&T จะมีการเปลี่ยนแปลงดังที่ทราบข่าวกันอยู่

3BB เป็น brand ใหม่สำหรับบริการอินเทอร์เน็ตของบริษัท Triple T Internet (ตามที่ปรากฎบนเว็บ) ซึ่งบริหารโดยกลุ่มจัสมิน (ไม่ใช่ TT&T)

Reference : rujipars


วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

เริ่มต้นใช้งาน Wireless

การใช้งาน Wireless ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 โครงสร้าง หลัก
ได้แก่
1.ผ่านตัวกลางเดียวกัน (Infrastructure) หรือที่เรา connect ผ่าน Access point
2.ไม่ผ่านตัวกลาง (Ad-Hoc) หรือเครือข่ายเฉพาะกิจ ไม่ผ่านตัวกลาง ทุกตัวสามารถเป็นตัวกลางได้หมด

การใช้งานผ่านเครือข่าย Infrastructure คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คำสั่ง Show ip interface brief (sh ip int bri)

ในกรณีที่เป็น Ethernet port (10/100/1000) (RJ45)
- Status จะหมายถึง สถานะของพอร์ตอีเธอเน็ตนั้นๆ
Up = ใช้งานได้ (มีการใช้งานคำสั่ง no shutdown ให้กับพอร์ตนี้อยู่)
Down = อิเธอเน็ตพอร์ตนี้ไม่สามารถใช้งานได้
Administratively down = ถูกคำสั่ง Shutdown ไว้อยู่
- Protocol จะหมายถึง การทำงานใน Layer ที่ 1 และ 2
Up = สายแลนเสียบอยู่ทั้งสองข้าง พร้อมทำงาน
Down = สายแลนไม่ถูกเสียบอยู่ หรือ ถ้าถูกเสียบคือปลายสายแลนอีกฝั่งหนึ่งไม่สามารถทำงานได้ (พอร์ตอีกด้านถูก shutdown,Switch port ถูกบล็อค) หรือ ใช้สายผิดประเภท (Cross over , Straight through) หรือ สายแลนนั้นใช้ไม่ได้



ในกรณีที่เป็นอินเตอร์เฟสซีเรียล (Serial)
Status จะหมายถึงการทำงานใน Layer ที่ 1
Up = ใช้งานได้ (มีการใช้งานคำสั่ง no shutdown ให้กับพอร์ตนี้อยู่)
Down = สายซีเรียลไม่ถูกเสียบไว้
Administratively down = ถูกคำสั่ง Shutdown ไว้อยู่
Protocol จะหมายถึง การทำงานใน Layer ที่ 2
Up = สายซีเรียลถูกเชื่อมต่อทั้งสองด้าน
Down = ความผิดพลาดในชั้นของ L2 เช่น Encapsulation ผิด (HDLC,PPP) หรือ การไม่ได้รับการจ่ายสัญญาณนาฬิกา หรือ สัญญาณนาฬิกาไม่เท่ากัน เป็นต้น

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Riverbed Training

วันนี้ผมได้รับการเทรน riverbed เป็นโปรดักซึ่ง เคยจับมาครั้งนึง แต่ยังไม่รู้การทำงานของมันเลย แต่วันนี้ได้เรียนรู้ถึงการทำงานของมันซะจริงๆ สำหรับคนที่ต้องการจะเข้าใจการทำงานของมันในเชิงลึกแล้ว ต้องใช้ความรู้ TCP/IP กันอย่างลึกซึ้งกันเลยทีเดียว

เริ่มต้นกับ riverbed เป็นชื่อของโปรดักหนึ่งซึ่งทำหน้าที่หลักๆคือเป็น WAN Optimizer อย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพแบนวิธที่เรามีอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการใช้งานนั้นเราจะต้องมีตัว riverbed ทั้งสองฝั่งของ WAN link จึงจะสามารถใช้งานได้ มิเช่นนั้นถ้าเรามีเพียงฝั่งเดียว ก็จะไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้


ทำไม riverbed สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ WAN ได้?
หลักการของ riverbed สามารถสรุปได้คร่าวๆดังนี้
1. การขยายขนาดของ TCP Segment เนื่องจากขีดจำกัดขนาดของ Segment ใน TCP นั้นมีขนาดจำกัด ดังนั้นเราจึงขยายขนาดของ Segment นี้ให้สามารถส่งข้อมูลใน 1 segment ได้มากขึ้น ลดความถี่ในการทำ handshake ลง
2. ถ้าเป็นการเรียกใช้งานข้อมูลเดิม จะไม่ทำการส่งข้อมูลที่เป็นข้อมูลจริงไป จะมีการส่งแค่ Reference ขนาดเพียง 16 byte แทน การ Reference นี้มีด้วยกัน 4 Level อาทิเช่น Level ใหญ่สุดจะเป็นไฟล์ทั้งไฟล์ที่เป็นไฟล์เดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าหากมีการเรียกใช้งานไฟล์เดิมก็จะส่งเพียง Ref. code 16 byte เท่านั้น หรือถ้าหากข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนก็จะส่งส่วนที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้วย Ref. code ที่มีขนาดเล็กกว่า level แรกๆเหมือนเดิม ส่วนที่เปลี่ยนก็จะนำมาทำเป็น Ref. code ใหม่แล้วส่งไปเช่นกัน ทำให้ข้อมูลที่วิ่งผ่าน WAN จริงๆ ไม่ใช่ Data จริง เป็นเพียง Code ที่วิ่งส่งไปมาระหว่าง Site เท่านั้น
3. มีการ Compress Data ก่อนส่งข้อมูล ตามหลักการทั่วไป เช่น Haffman , LZ เป็นต้น
4. ทำการ Handshake กับ Server แทนในบางกรณีทำให้ Client ไม่ต้อง Handshake เอง

การทำงานของ Riverbed นั้นถือได้ว่า เป็นการทำงานบน L4 ใน OSI Model ซึ่งในอนาคตอาจมีการทำงานในชั้นที่สูงขึ้น
Mode การทำงาน ของ Riverbed มีอยู่ด้วยกันหลาย Mode ในแง่ของ Addressing
1. Correct Addressing การติดต่อกันระหว่าง site ใช้ IP และ Port ของ riverbed ในการติดต่อโดยตรง
2. Correct IP & Port Visibility การติดต่อกันระหว่าง Site ใช้ IP ของ Riverbed แต่ใช้ Port จริงๆที่สื่อสารกัน
3. Full IP & Port Visibility การติดต่อกันระหว่าง Site ใช้ IP และ Port ที่สืิ่อสารกันจริงๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง


รูปแบบการสื่อสารของ Riverbed สามารถเลือกได้ 2 รูปแบบ คือ
1. In_path rule ตั้งค่าที่ฝั่งของต้นทาง โดยมีให้เลือกหลาย mode ย่อย คือ
1.1 Auto discovery
1.2 Fixed- target
1.3 Pass-through
2. Peer rule คือตั้งค่าที่ฝั่งปลายทาง


กรณีที่ไม่สามารถใช้งาน Riverbed ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ข้อมูลมีการเข้ารหัส แต่ในบางกรณี Riverbed สามารถ Decrypted ได้
2. Application ทื่มีการส่งข้อมูลครั้งละน้อยๆ แต่บ่อย เนื่องจากโดยปกติ Riverbed จะมีการรอรวมข้อมูลจริงก่อนส่งทุกครั้ง เป็นเวลา 6 ms ถ้าหากไม่มีข้อมูลใน Session นี้ส่งมาต่อ จึงจะเริ่มกระบวนการ Compress และส่งได้

เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาเล่ารายละเอียดเชิงลึกต่อนะครับ วันนี้เอาคร่าวๆก่อน อิอิ




วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Proxy ARP

หลายๆคนคงรู้จักกับ ARP กันมาบ้างแล้ว ARP หรือ Address Resolution Protocol นั้นเป็นโปรโตคอลสำหรับค้นหา MAC Address ในเครือข่าย LAN จากหมายเลข IP Address ซึ่งนับว่าสำคัญมากๆในการติดต่อสื่อสารภายในวงแลนเดียวกัน

คราวนี้เรามารู้จัก Proxy ARP กัน
คำว่า Proxy นั่นอาจจะหมายถึงการทำ Cache ของอะไรสักอย่างนึง โดยไม่ต้องไปค้นหาสิ่งนั้นจากต้นทางจริงๆ
บางครั้งเคยสังเกตหรือเปล่าว่า เราทำการตั้งค่า IP ต่างๆเสร็จแล้ว แต่เราบังเอิญตั้งค่า Gateway ผิด แต่ทำไมเราจึงสามารถคุยกับเครื่องปลายทางได้ (เน้นว่าจะต้องอยู่ในเนตเวิร์กเดียวกัน) นั่นเป็นเพราะขีดความสามารถหนึ่งของฟังก์ชันของ Router โดยที่ Router จะทำหน้าที่ในการทำ ARP Reply เอง หรือไม่ก็ในกรณีที่เรากำหนดค่าของ Subnet ไม่เท่ากัน ซึ่งดูได้จากรูป

5_01.gif




จากรูป เครื่อง Host A นั้น IP 172.16.10.100 / 16 ซึ่งต้องการคุยกับ Host D ซึ่งเมื่อเรานำเอา IP ของ Host D มาทำการ And กับ subnet ของ A ก็จะพบว่าอยู่ในเน็ตเวิร์กเดียวกัน แต่จากรูปนั้นอยู่กันคนละเน็ตเวิร์ก ทำให้ เครื่อง A ติดต่อไปยังเครื่อง D โดยตรง (Directly connect) แต่ในกรณีครั้งแรกที่มีการสื่อสารกันเครื่อง A จะยังไม่มี MAC ของเครื่อง D จึงต้องส่ง ARP Request ไปถามเครื่อง D เมื่อแพ็กเก็ตนี้มาถึง Router ซึ่ง Router รู้ดีว่าเครื่อง D นั้นอยู่อีกเน็ตเวิร์กนึง เพื่อให้คุยกันได้ Router จึงต้องตอบ MAC เป็นของ Interface Router เอง กลับไป เพื่อให้ A ส่งผ่านตนเองอีกทีหนึ่ง














วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติของอินเตอร์เน็ต ( History of Internet )



กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ( Department of Defense : DoD) เป็นผู้เริ่มต้นในการคิดค้นและวิจัยเทคโนโลยีต่างๆในการสื่อสารข้อมูล อันเนื่องมาจากความต้องการที่จะได้รับชัยชนะในสงคราม โดยช่วงที่เกิดสงครามโลกขึ้นระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯมีความต้องการที่จะจัดตั้งศูนย์บัญชาการกลางขึ้น โดยจะต้องทนทานและอยู่รอดได้ แม้กระทั่งถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ แต่ระบบโทรศัพท์ธรรมดาที่มีอยู่นั้นยังไม่สามารถนำมาใช้งานได้เพราะง่ายและไม่ทนทานต่อการถูกโจมตี ถ้าหากชุมสายขาดหรือโดนทำลายเป็นผลทำให้ไม่สามารถสื่อสารกันได้เลย เนื่องจากยังเป็นโครงสร้างในลักษณะของ Circuit-Switching ทำให้ในช่วงกลางปี 1960 กระทรวงกลาโหมสหรัฐจึงตั้งหน่วยงานหนึ่งขึ้นมาเพื่อวิจัยและทดลองโดยเฉพาะทางขึ้น ใช้ชื่อว่า ARPA (Advance Research Project Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ไม่มีนักวิจัย เป็นเพียงตัวกลางในการประสานงานและออกนโยบายระหว่างหน่วยงานทางทหารและสถาบันการศึกษา โดยการกำหนดหัวข้อหลักที่กระทรวงกลาโหมต้องการแล้วมอบหมายในลักษณะทุนการวิจัยให้กับนักวิจัย
ในปีคศ.1969 ARPA ได้มีความตั้งใจที่จะเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานทางทหารเข้าด้วยกันทั้งกองทัพบก ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์ของ DEC กองทัพเรือ ใช้คอมพิวเตอร์ของ Unisys และกองทัพอากาศใช้ของ IBM และนอกจากนี้ยังมีนักวิจัยและมหาวิทยาลัยเข้าร่วมอีก 4 หน่วยงาน คือ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยยูทาห์ มหาวิทยาลัยซานตา บาบารา และ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจอริส ซึ่งรวมกันเป็นเครือข่ายภายในประเทศขึ้นผ่านทางสายโทรศัพท์ ซึ่งเรียกเครือข่ายนี้ว่า ARPAnet ซึ่งในขณะนั้นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่นำมาเชื่อมต่อกัน จะมีชื่อเรียกว่า IMPs (Interface Message Processors) โดยมีการเชื่อมต่อกันผ่านซอฟแวร์ตัวหนึ่ง ชื่อ NCP (Network Control Protocol) ซึ่งนับเป็นโปรโตคอลแรกของโลก โดยมีพื้นฐานการทำงานเป็นแบบ Packet-Switching โดยการสื่อสารจะประกอบไปด้วย IMP อย่างน้อย 2 แห่ง ติดต่อกันโดยตรงผ่านดาต้าแกรม ในกรณีที่ IMP ใดไม่สามารถใช้งานได้ ข้อมูลที่ค้างอยู่ภายในดาต้าแกรมจะถูกนำส่งไปยังปลายทางได้โดยอัตโนมัติ เครื่องต้นทาง (Host) จะสามารถส่งข้อมูลผ่านไปยังปลายทางผ่านทาง IMP หลังจากนั้น IMP ก็จะนำส่งข้อมูลดังกล่าวไปยัง IMP ถัดไปในลักษณะของ Store-and-forward โดยจะส่งไปเรื่อยๆจนถึงจุดหมายอย่างอิสระ
ARPA ยังสนับสนุนให้มีการติดต่อสื่อสารผ่านทางเครือข่ายแบบอื่นๆ อาทิเช่น ผ่านดาวเทียว โทรศัพท์ติดตามตัว เป็นต้น ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในการติดต่อสื่อสารกัน แต่เนื่องจากในสมัยนั้นมีรูปแบบของเครือข่ายอยู่หลายชนิด จึงทำให้เครือข่าย ARPA ดังกล่าวไม่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายย่อยๆในหลายรูปแบบได้ ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯจึงได้ค้นคว้าโปรโตคอลใหม่ที่เหมาะสมมาแทนรูปแบบเดิม
ต่อมาในปี คศ.1972 Vint Cerf และ Bob Kahn นักวิจัยซึ่งทำงานอยู่ในโครงการ ARPA ได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีทางเครือข่าย เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้ง่ายขึ้นไม่ซับซ้อนระหว่างการส่งข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง (End-to-End Delivery) ซึ่งได้มีการตีพิมพ์เป็นเอกสารขึ้นโดยใช้ชื่อว่า Transmission Control Protocol (TCP) ว่าด้วยหลักการ Encapsulation โครงสร้างของดาต้าแกรม และการทำงานของเครื่องเกต์เวย์
หลังจากที่ออกเอกสารดังกล่าวได้ไม่นานก็มีการแบ่งการทำงานของ TCP ออกเป็นสองส่วน โดยชัดเจน คือ Transmission Control Protocol (TCP) ซึ่งจะดูแลในส่วนของการแบ่งข้อมูลเป็นหลายๆเซกเมนต์, การเรียงแพ็กเก็ตข้อมูลและการตรวจสอบความถูกต้อง และอีกส่วนหนึ่งคือ Internetworking Protocol (IP) ซึ่งจะดูแลในส่วนของการค้นหาเส้นทางพาดาต้าแกรมให้สามารถส่งไปยังปลายทางได้ถูกต้อง เพื่อให้โปรโตคอล TCP/IP ได้รับการใช้งานอย่างกว้างขวาง กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯจึงให้บรรจุโปรโตคอล TCP/IP ดังกล่าว รวมกับระบบปฎิบัติ Unix แล้วแจกจ่ายให้กับผู้อื่นต่อไป
ต่อมาได้มีการใช้งาน ARPAnet อย่างกว้างขวาง ซึ่งในขณะนั้นมี IMP อยู่ในระบบมากกว่า 200 เครื่อง ARPAnet จึงได้มีการจัดระบบโครงสร้างใหม่ โดยโอนให้อยู่ในความดูแลขององค์การโทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งมีการแยก IMP ออกมาจากเดิม 160 เครื่องเพื่อใช้ในการสื่อสารทางการทหารโดยเฉพาะ เรียกว่า MILNET และมีการนำเอาระบบ DNS เข้ามาใช้ในการติดต่อสื่อสารด้วย
คศ.1977 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (NSF) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของ ARPAnet จึงได้มีการจัดตั้งระบบเครือข่ายของตนเองขึ้นโดยใช้ชื่อว่า CNET ซึ่งเป็นแหล่งศึกษาและวิจัยสำหรับสถาบันการศึกษาต่างๆที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ ARPAnet มีศูนย์กลางอยู่ที่บริษัท BBN และสามารถเชื่อมต่อกับ ARPAnet ได้ และนอกจากนี้ยังได้มีการสนับสนุนงบประมาณในการก่อตั้งระบบเครือข่ายย่อยกว่า 20 แห่ง ทำให้หน่วยงานที่สำคัญเช่น สถาบันการศึกษา ห้องทดลองต่างๆ เชื่อมต่อเข้ากับระบบ CNET นี้ได้ และภายหลังได้เรียกระบบใหม่นี้ว่า NSFNET ซึ่งมีการเชื่อมต่ออยู่กับ ARPAnet อยู่เช่นเดิม
ในวันที่ 1 มกราคม คศ.1983 มีการประกาศมาตรฐาน TCP/IP ให้เป็นมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูล ทำให้มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อ ARPAnet เชื่อมต่อกับ NSFNET จำนวนผู้ใช้งานได้เพิ่มมากขึ้นอย่างทวีคูณ ทำให้เริ่มมีการนำเอาคำว่า Internet มาใช้งาน แทนการเรียกระบบ ARPAnet หรือ NSFNET
ผลที่ตามมาคือโครงสร้างหลักไม่สามารถรองรับปริมาณข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ จึงได้มีการออกแบบระบบเคเบิลใยแก้วขึ้น ซึ่งมีความเร็วในการส่งข้อมูล 448 Kbps และได้มีการเปลี่ยน IMP ซึ่งแต่เดิมใช้เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ธรรมดา เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แมนเฟรม IBM-RS6000s และเริ่มมีการเรียกอุปกรณ์นี้ว่า Router แทน IMP และในปี คศ. 1990 ได้มีการเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลเป็น 1.5 Mbps (มาตรฐานสาย T1)
จากอัตราการเพิ่มการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น NSF ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลจึงมีแนวความคิดที่จะชักชวนหน่วยงานจากเอกชนเข้ามาลงทุนเพิ่ม ได้แก่ MCI , IBM, MERIT เข้ามาดำเนินงาน NSFNET จึงมีการเปลี่ยนชื่อเป็น ANSNET (Advance Networks and Service) และมีการเพิ่มความเร็วการส่งข้อมูลเป็น 45 Mbps (มาตรฐานสายT3)
ในปี คศ.1995 การใช้งาน ANSNET เริ่มลดน้อยลง เนื่องจากได้มีหน่วยงานเอกชนอีกจำนวนมาก สร้างเครือข่าย IP ขนาดย่อยของตัวเองขึ้นมาใช้งาน จนภายหลัง ANSNET ถูกขายให้บริษัท America Online ทำให้เครือข่ายเดิมที่เคยเชื่อมต่อเข้ากับ ANSNET ต้องเชื่อมต่อผ่านบริษัทเอกชน และภายหลังเมื่อมีหน่วยงานเอกชนจำนวนเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็ได้มีการจัดตั้ง NAP (Network Access Point) ขึ้น เพื่อเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายย่อยของบริษัทเอกชนอื่นๆ

SONYBOND


Reference:
1. Behrouz A. Forouzan , Data Communication and Networking
2. Andrew S.Tanenbaum , Computer Network

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Netflow monitor

หลังจากที่เราได้รู้คร่าวๆเกี่ยวกับการ sniffer แบบ ใช้ wireshark ไปแล้ว

คราวนี้ เรามาดูการวิเคราะห์ traffic อีกแบบ ที่ไม่ต้องมานั่งอ่านทุกแพ็กเก็ต โดยใช้โปรแกรม netflow





Netflow นั้นเปรียบเสมือน Tools ชิ้นเยี่ยม ที่ใช้ในการวิเคราะห์ traffic ได้เป็นอย่างดี

ซึ่งจะมองเป็นภาพรวมไม่เจาะจงเป็นแพ็กเก็ต สามารถแสดงสถิติ การใช้งานของแต่ละยูสเซอร์ หรือ traffic

แต่ละประเภทได้ อีกทั้งยังจัดอันดับ สามารถแสดงผล และ Generate Report ออกมาได้ในหลายรูปแบบ

ทำให้ง่ายต่อการใช้และสะดวกในการวิเคราะห์ ซึ่งเราจะสามารถเลือกดูได้ทั้งบนตัวอุปกรณ์ หรือ เลือกให้

อุปกรณ์แต่ละตัว forward ไปยังเครื่องที่ใช้วิเคราะห์ศูนย์กลาง ก็ได้



วิธีการ config netflow บน อุปกรณ์ router

1.ทำการติดตั้งตัวโปรแกรมจำพวก Netflow Analyszer ต่างๆ ลงบนเครื่องที่ต้องการ ในกรณีที่

ต้องการดูหลายๆอุปกรณ์ บนเครื่องๆเดียว
2. ทำการ forward traffic จากอุปกรณ์เร้าเตอร์
Router(config)#int fa0/1
Router(config-if)# ip flow ingress ; วิเคราะห์ที่ขา fa0/1
Router(config-if)#int fa0/0
Router(config-if)#ip flow ingress ; วิเคราะห์ที่ขา fa0/0 ด้วย
Router(config)#ip flow-export source lo 0
Router(config)#ip flow-export version 5
Router(config)#ip flow-export destination 192.168.1.5 9998 ; ส่งผลการวิเคราะห์ที่ได้
ไปยังเครื่อง 192.168.1.5 ผ่านทาง UDP port 9998


เท่านี้เราก็จะได้สถิติต่างๆมาดู โดยไม่ต้องเจาะทีละแพ็กเก็ต



วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีการดักจับ (Sniffer) ของ Router หรือ Switch อย่างง่าย


วันนี้เรามารู้จัก วิธีการวิเคราะห์ทราฟฟิกในเครือข่ายกัน มีวิธีอยุ่หลายวิธี

แต่ที่จะยกตัวอย่าง 2 วิธี ดังนี้

1. ใช้ Wireshark ดักแพ็กเก็ตที่เข้าออกเครือข่าย
2. ใช้ Netflow วิเคราะห์



1. การใช้ Wireshark ดักจับข้อมูล สามารถทำได้โดยหาอุปกรณ์ที่ต้องการไปวางไว้ตรงกลางของระบบ เพื่อให้ข้อมูลวิ่งผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วส่งต่อไปยังปลายทางตามปกติ ใช้หลักการในลักษณะของ "Man-in the Middle" ซึ่งการที่เราจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถรับแพ็กเก็ตทุกแพ็กเก็ตได้นั้น จะต้องมีการปรับโหมดการทำงานของ interface card นั้นๆ ให้เป็น Promiscuous mode ก่อน ซึ่งในกรณีนี้ตัวโปรแกรม wireshark จะเป็นตัว enable การทำงานในโหมดนี้ ทำให้เราสามารถรับทุกแพ็กเก็ตที่ไม่ใช่ของเรามาวิเคราะห์ได้ หลังจากที่เราเตรียมคอมพิวเตอร์แล้ว จากนั้นเราก็ต้องทำการเอา Hub/Switch มาวางขั้น เพื่อให้ทำการ mirror ข้อมูลที่วิ่งเข้าออก มายังพอร์ตที่เราต้องการ ซึ่งถ้าหากเป็น Hub ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เนื่องจากแพ็กเก็ตข้อมูลที่วิ่งเข้าออก ถูกก๊อปปี้ออกทุกพอร์ตอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเป็น Switch เราก็ต้องคอนฟิก mirror port ก่อนดังนี้

Switch(config)#monitor session 0 both source interface fa0/1 ; ในกรณีที่เราต้องการก๊อปปี้้ข้อมูลที่วิ่งเข้าออกที่ผ่านพอร์ต fa0/1

Switch(config)#monitor session 0 destination interface fa0/24 ; ในกรณีที่เราต้องการก๊อปปี้ข้อมูลดังกล่าวไปยังพอร์ต fa0/24

เพียงเท่านี้เราก็จะได้ทราฟฟิกที่ิวิ่งทุกแพ็กเก็ตมายังโปรแกรม wireshark


2.ใช้ tools netflow ซึ่งบรรจุมาอยู่ในอุปกรณ์อย่างเช่น switch / router ของ cisco อยู่แล้ว ซึ่งจะมาบอกคอนฟิกต่อไปในภายหลัง ...

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การสร้าง VLAN บน L2 Switch


วันนี้ผมได้ลองทำการสร้าง VLAN บน Switch Cisco Catalyst 2950 IOS Version 12.1(22)

นั้นสามารถ สร้าง VLAN ได้มากกว่า 1 VLAN แต่ VLAN จะสามารถอยู่ใน status "up" ได้เพียง VLAN เดียว

อาจจะสรุปคร่าวๆ ได้ว่า Switch L2 นั้นสามารถมี active VLAN ได้เพียง VLAN เดียวเท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย ระหว่าง Router VS Switch Layer3

เนื่องจากจุดประสงค์การออกแบบนั้น Router ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อแบบ WAN เป็นหลัก การส่งข้อมูลไม่จำเป็นต้องมีความเร็วสูงมากเท่ากับใน LAN ดังนั้นจึงมีเวลาในการประมวลผล routing ได้เป็นอย่างดีและสามารถทำฟังก์ชันอื่นเพิ่มได้ อาทิเช่น VPN / NAT / QoS
แต่ Switch Layer3 นั้น ถูกออกแบบหลักมาเพื่อเชื่อมต่อในเครือข่าย LAN เป็นหลัก ทำให้การส่งข้อมูลมีอัตราเร็วที่สูงมาก ดังนั้นการที่จะมาประมวลผลแพ็กเก็ตข้อมูลหรือทำการคำนวณอื่นๆ เช่น QoS / Routing / NAT อาจจะทำให้เสียเวลา ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมตกลง
กล่าวโดยสรุปคือ Switch L3 สามารถทำหน้าที่แทน Router ได้ในบางกรณี ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมในการทำงานสู้ Router ไม่ได้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า Switch Layer3 เหมาะสำหรับทำ Routing ภายในองค์กร ที่มีจำนวนเครือข่ายหลายเครือข่าย (Core Network) แต่ไม่เหมาะสำหรับการทำเป็น Gateway หลักขององค์กร
ความแตกต่าง Router VS SW L3


Router
- Router มีประเภทของ Interface ที่เชื่อมต่อระหว่าง LAN / WAN ที่หลากหลายกว่า Switch L3 หรือ (L3 สามารถซื้อ Interface บางตัวเพิ่มได้ )
- Router สามารถทำงานทางด้าน Routing ได้ดีกว่า Switch L3 (อาจมีฟังก์ชันการทำงานที่เยอะกว่า หรือ ซับซ้อนกว่า)
- Router สามารถทำ NAT ได้ ซึ่ง Switch L3 ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้
- Router สามารถทำ QoS ได้ดีกว่า Switch L3
- Router ตัวปกติ มีราคาถูกกว่า Switch L3
- Router สามารถทำ VPN / Tunnel ได้


Switch Layer3
- มีจำนวน Interface จำพวก LAN / Ethernet มากกว่า
- การส่งข้อมูลสามารถทำได้รวดเร็วกว่า Router


Basic command for Modem


เนื่องจากวันนี้ได้ไป site ลูกค้า โดยสืบเนื่องปัญหามาจากไม่สามารถ remote ไปยังเครื่องปลายทางผ่านทางพอร์ต auxiliary ได้ โดยพอร์ต auxiliary นิยมใช้สำหรับการ remote ผ่านทาง PSTN จึงต้องมีการใช้ modem เพื่อแปลงสัญญาณอนาล็อกเป็นดิจิตอล และแปลงจากดิจิตอลเป็นอนาล็อก อีกทีหนึ่ง

โมเด็มนี่แหละเจ้าปัญหา เนื่องจาก command ที่ใช้นั้นไม่ได้เป็นเหมือนอุปกรณ์เนตเวิร์กทั่วๆไป
ซึ่งจะมีคำสั่งที่เป็นในลักษณะของ AT Command ก็เลยต้องมาเรียนรู้การคอนฟิกเบื้องต้นกัน

at&v สำหรับ view configuration
at&w สำหรับ save configuration ลง profile0
หรือ บางโมเดม นะครับ จะใช้ at&w0z0 (เลขศูนย์นะครับ ไม่ใช่ตัวโอ) แทนคับ
ats0=2 เป็นการ ตั้งค่าใน profile 1 ให้ ตอบรับอัตโนมัติหลังจากผ่านเสียง tone ไป 2 tone
at&n70 ไว้สำหรับกำหนด bit rate เป็น 9600 นั่นเอง (ขอบคุณสำหรับgoogle ที่ช่วยผมตอบ ๕๕๕๕)


การใช้ VPN site-to-site แบบ L2TP บน window xp


การใช้งาน L2TP บน window XP นั้น โดยปกติ ยังไม่สามารถใช้งานได้ จนกว่า เราจะเปิด

ใช้บริการ ซึ่งสามารถเข้าไปแก้ไขค่า registry ได้ดังนี้

[HKEY_LOCAL_MACHINE\System\CurrentControlSet\Services\Rasman\Parameters]

สร้าง DWORD ใหม่ ดังนี้

"ProhibitIpSec"=dword:00000001

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Basic command for Network Engineer

1. ถ้าหากต้องการเข้าสู่ ROMMON (ROM Monitor) อาทิเช่น ต้องการเข้าไปแก้ไข ลำดับการบูตเครื่อง
กด : Ctrl+Shift+Break (ขณะเริ่มบูตเครื่อง)

2. ถ้าหากเข้าไปอยู่ในโหมดที่ลึกกว่า แล้วต้องการใช้คำสั่งในโหมด Global เราสามารถใช้ค่ำสั่ง do และตามด้วยคำสั่งที่ต้องการ

Router(config-if)#do ping 192.168.0.1


3. ถ้าหากต้องการยกเลิกการทำงานของคำสั่ง

กด : Ctrl+Shift+6


วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Cisco Stackwise


Stack switch คืออะไร?
เป็นการนำเอาสวิตซ์หลายๆตัว มาต่อเพิ่มเข้าไปผ่านทางพอร์ตแสตกส์ ซึ่งเป็นพอร์ตโดยเฉพาะ เพื่อให้มองสวิตซ์หลายๆตัวที่นำมาต่อนั้นเป็นเสมือนสวิตซ์เพียงตัวเดียว เหตุผลที่ทำนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง อันได้แก่
1.เพื่อเป็นการเพิ่มจำนวนพอร์ตของสวิตซ์ เช่นถ้าหากมีสวิตซ์สองตัว ตัวละ 24 พอร์ต ก็จะเสมือนมีสวิตซ์ตัวเดียวที่มี 48 พอร์ต ซึ่งการทำสแตกส์ต่างจากการนำพอร์ตอัพลิงค์ของสวิตซ์มาต่อกันมากนัก เนื่องจาก พอร์ตอัพลิงค์ หรือ พอร์ตที่เป็นอีเธอเนตธรรมดานั้น อาจมีแบนด์วิธโดยมากประมาณ 1 Gbps หรืออาจถึง 10 Gbps ซึ่งถ้าหากเราทำการพ่วงพอร์ตอัพลิงค์ไปยังสวิตซ์ตัวถัดไป ก็จะทำให้ถ้าการสื่อสารนั้น ต้องการสื่อสารไปยังสวิตซ์อีกตัวนึง เกิดคอขวดขึ้นที่พอร์ตของอัพลิงค์ ทำให้ใช้งานได้ช้า ซึ่งตามปกติแล้ว ถ้าหากเรามาทำสแตกส์นั้น พอร์ตสแตกส์ดังกล่าว สามารถรองรับแบนวิธได้มากถึง 32Gbps ทำให้เป็นการลดคอขวดของระบบลง
2.เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ เนื่องจากถ้าเราทำการซื้อสวิตซ์ัตัวที่ใหญ่ขึ้นกว่านีั้ จำเป็นต้องเพิ่มเงินอีกจำนวนมาก ซึ่งอาจจะมีราคาแพงกว่า ซื้อสวิตซ์หลายๆตัวมาต่อทำสแตกกัน
3.เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ (Management) เนื่องจาก การทำสแตกส์ เราจะมองสวิตซ์หลายๆตัว เป็นเหมือนสวิตซ์เพียงตัวเดียว ทำให้เราสามารถเข้ามาจัดการกับสวิตซ์เหล่านี้ได้ผ่านทางไอพีเพียงไอพีเดียว
ซึ่งการคอนฟิก ก็อาจจะต่างไปจากเดิมบ้าง เนื่องจากมีสวิตซ์หลายตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะได้กล่าวถัดไป
ลักษณะการทำงานของสแตกส์สวิตซ์
- เนื่องจากมีสวิตซ์อยู่หลายตัว การทำงานจึงต้องทำการเลือกสวิตซ์หลักตัวนึงขึ้นมาเพื่อควบคุมการทำงาน ซึ่งจะเรียกว่า master ส่วนตัวที่เหลือจะเรียกว่า slave หรือ member โดยที่สวิตซ์ตัว master จะต้องทำการส่งข้อมูลต่างๆ อาทิเช่น ACLs , Routing table CAM table ไปให้่สวิตซ์ตัวที่เหลือทราบ เนื่องจากทั้งหมดนั้น logical คือสวิตซ์เพียงตัวเดียว ทุกตัวจึงต้องรู้ข้อมูลเหมือนกัน และยังมีประโยชน์ในกรณีของตัว master ดาวน์ จะได้มีการเลือกตัวสำรองมาทำงานเป็น slaveได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลามากนัก แต่ภาระหนักต่างๆในการคำนวณเส้นทางหรือคิดตรรกะต่างๆ จะหนักไปที่สวิตซ์ซึ่งเป็น master จะต้องใช้ซีพียูทำงานจำนวนมาก อาทิเช่น หากสวิตซ์ทำการรันเร้าติ้งโอเอพีเอฟ (OSPF) ตัวมาสเตอร์จะเป็นตัวคำนวณหลัก แล้วส่งข้อมูลที่สังเคราะห์แล้วไปยัง member ตัวอื่นๆ
หลักการเลือก master จะทำได้โดย การกำหนด priority 0-15 ซึ่งค่ามากที่สุดในการเป็น master ถ้าหาก priority เท่ากันก็จะดูจากปัจจัยอื่่นๆ และถ้าหากยังเท่ากันอีก ก็จะปิดท้ายที่ mac address
การทำ stack switch นั้นถ้าหากเป็นของซิสโก้จะสามารถทำได้สูงสุด 9 ตัว

Requirement
1.ถ้าหากเป็นสวิตซ์ของซิสโก้ ส่วนมากจะไช้ได้ในเฉพาะซีรีส์ Cisco 3750
2.IOS ของสวิตซ์จะต้องเป็นรุ่นเดียวกัน หรืออาจใกล้่เคียงกันกับสวิตซ์ที่เป็น master
3.การต่อสายสแตกซ์สามารถต่อเป็นทางเดียว หรือ ต่อให้ครบลูปก็ได้ ซึ่งถ้าต่อไปทางเดียว จะได้แบนวิธเพียง 16 Gbps แต่ถ้าหากเราต่อครบ loop จะได้แบนวิธสูงสุด คือ 32 Gbps

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

OFDM เทคโนโลยีสำหรับการสื่อสารแห่งอนาคต

Ref : http://www.tmi.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=263&Itemid=64

อังคาร, 05 กุมภาพันธ์ 2008


สำหรับวันนี้ กระผมขออนุญาตนำเทคโนโลยีที่มีใช้กันมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่กำลังจะกลายเป็นรากฐานสำหรับเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆเกือบทุกชนิดที่เกิดขึ้นใหม่ หรือที่กำลังอินเทรนด์อยู่ ครับ ก็อย่างที่หัวข้อว่าไว้นั่นแหละครับ วันนี้ผมจะมาแนะนำทำความรู้จักกับ OFDM (Orthogonal Frequency Division Multiplexing) กัน

จริงๆแล้ว เจ้า OFDM นี้ก็มีใช้กันมาสักพักหนึ่งแล้วในบางเทคโนโลยี อย่างเทคโนโลยีที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ ADSL ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตตามสายโทรศัพท์ที่เป็นที่นิยมกันอยู่และ 802.11g ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแลนไร้สาย นอกจากนี้ เทคโนโลยีที่เป็นที่จับตามองกันตาเป็นมัน และพร้อมที่จะกระโดดเข้ามาเล่นกันมากก็คือ ไวแมกซ์ ก็ใช้เทคโนโลยีนี้ในรูปแบบของ S-OFDMA (Scalable- Orthogonal Frequency Division Multiple Access) ด้วย สาเหตุที่มันเป็นที่นิยมมากก็คือ ความมีประสิทธิภาพสูงภายใต้แบนด์วิธที่จำกัดของมัน ทำให้ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงได้เป็นอย่างดี

ประวัติของ OFDM

ในปี 1966 คุณ R.W. Chang ซึ่งทำงานอยู่ที่ Bell Labs ได้ทำการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ว่า การทำมอดูเลชันแบบแยกสัญญาณออกจากกันหรือที่เรียกว่าmulti-carrier modulation นั้น สามารถที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่อง multipath ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของระบบการสื่อสารแบบไร้สายได้ ซึ่งตอนนั้น นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการคิดถึงการใช้ multi-carrier modulation ในการใช้งาน และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของ OFDM ที่เป็นหนึ่งใน multi-carrier modulation

ปี 1971 การทำ multi-carrier modulation ก็เริ่มที่จะเกิดขึ้นได้จริง ด้วยการใช้เทคนิคของ FFT (Fast Fourier Transform) และใช้ cyclic prefix ในOFDM ด้วยฝีมือของคุณ Weinstein และ Elbert ทำให้สิ่งที่เคยเป็นเพียงทฤษฎีเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น จากนั้น ก็ได้มีการพัฒนาปรับปรุงขึ้นมาตามลำดับ จนกระทั่ง OFDM เริ่มที่จะเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ได้จริง ไม่ใช่เพียงความฝันอีกต่อไป ซึ่งในปี 1993 นั่นเอง เทคโนโลยี DSL ก็ได้นำเอา OFDM หรือในอีกชื่อว่าdiscrete multitone มาใช้งาน และนี่ก็เป็นการเปิดตัวกับเทคโนโลยีการสื่อสารที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ในปี 1999 IEEE ก็ได้กำหนดให้ 802.11a (ซึ่งไม่มีใช้ในบ้านเรา) ใช้เทคโนโลยี OFDM ในย่านความถี่ 5GHz และจากนั้นในอีก 2 ปีถัดมา IEEE ก็ได้กำหนดให้เทคโนโลยีไวแมกซ์ใช้งาน OFDM และได้กลายเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาไวแมกซ์ต่อๆมา และปี 2003 802.11g ก็ได้กำหนดใช้งาน OFDM ด้วยอีกเช่นกัน

เป็นไงบ้างล่ะครับ ถึงแม้ว่าจะพบมันมานานมากแล้วก็ตาม (อย่างน้อยก็มากกว่าอายุผมล่ะ ) แต่กว่าจะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการสื่อสาร ก็ไม่ใช่ง่ายๆเลยนะครับ กินเวลานานเลยทีเดียว ฉะนั้น พวกเราก็ต้องสู้ไม่ถอยเช่นกัน อย่างยอมแพ้ความยากลำบากที่เกิดขึ้นนะครับ

แล้ว OFDM คืออะไรล่ะ?

ว่ากันมาเสียตั้งนาน ยังไม่แนะนำให้รู้จักกันเลย เจ้า OFDM นั้นมีชื่อเต็มๆว่า Orthogonal Frequency Division Multiplex ครับ คุ้นๆไหม มันจะคล้ายกับFrequency Division Multiplex หรือ FDM ครับ ดังนั้น หลักการของมันก็คือ การทำมัลติเพล็กซ์สัญญาณหลายๆสัญญาณหรือการแบ่งช่องสัญญาณด้วยความถี่นั่นเอง

แล้วมันต่างกับของเดิมอย่างไรล่ะ ของเดิมหรือ FDM นั้น จะเป็นเพียงการแบ่งสัญญาณความถี่ออกจากกัน เพื่อให้แต่ละช่องสัญญาณนั้นไม่มีการรบกวนกันและทำการรับส่งข้อมูลกันได้อย่างราบรื่น แต่การที่จะทำให้มันไม่รบกวนกันนั้น จำเป็นที่จะต้องมี Guard band ที่เป็นช่องว่างความถี่ที่ไม่สามารถใช้งานได้ และกลายเป็นความสูญเปล่าที่ไม่เกิดประโยชน์อะไร

ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำมัลติเพล็กซ์บนความถี่ ก็ได้หามุมมองอื่นที่จะเข้ามาช่วย และในคณิตศาสตร์ก็มีคำๆหนึ่งก็คือคำว่าOrthogonal ซึ่งเป็นการทำให้แต่ละช่องสัญญาณนั้นเป็นอิสระต่อกัน ไม่สามารถที่จะส่งผลกระทบต่อกันและกันได้ เป็นไงครับฟังดูดีใช่ไหมครับ คำถามต่อไปก็คือ แล้วจะทำได้อย่างไร ก็จะขอเป็นเชิงคณิตศาสตร์สักนิดหนึ่งนะครับ แต่ก็จะพยายามไม่ให้ลึกจนเกินไปนัก จะได้ไม่หลุดโลกจนเกินไป หากใครคิดว่ามันลึกไป ก็อ่านข้ามๆ ไป ก็ได้นะครับ

ในทางคณิตศาสตร์แล้ว เมื่อค่าสัญญาณทั้งสองนั้น Orthogonal ต่อกัน ค่า product ของเวกเตอร์ของสัญญาณทางคณิตศาสตร์ก็จะเป็นศูนย์ ซึ่งก็คือเป็นอิสระต่อกัน ตัวอย่างเช่น

ซึ่งจะเห็นได้ว่า ทิศทางของเวกเตอร์นั้นจะพุ่งไปคนละทิศทางอย่างสมบูรณ์ จึงเป็นอิสระกันอย่างสมบูรณ์ แล้วคราวนี้ สำหรับสัญญาณความถี่ ซึ่งเป็นลักษณะSine wave นั้น จะเป็นอย่างไรล่ะ

สำหรับสัญญาณ Sine wave นั้น จะเป็น Orthogonal ต่อกันก็ต่อเมื่อ การทำ integral ของการคูณของมันได้เท่ากับศูนย์ ต่อหนึ่งช่วงเวลา (T=2)ตัวอย่างเช่น หากสัญญาณทั้งสองต่างกันอยู่ 90 องศาซึ่งจะเป็น Orthogonal ต่อกัน สามารถที่จะแยกจากกันได้อย่างอิสระด้วยวิธีการของ Phase Shift Keying ซึ่งก็จะเป็นฟังก์ชัน Sin(x) กับ Cos(x) ก็จะเขียนสมการได้ว่า

และมันจะเป็น Orthogonal ต่อกัน ดังจะเห็นได้ว่า ค่า Integral ของมันเท่ากับศูนย์ ซึ่งการอินทิเกรตก็คือการรวมพื้นที่ใต้กราฟเข้าด้วยกันอย่างมีทิศทาง ทำให้มันหักล้างกันไปหมด จนกลายเป็นศูนย์นั่นเอง

นอกจากนี้ ความถี่ฮาร์โมนิกนิกหรือความถี่ที่เป็นจำนวนเท่าของความถี่ใดๆก็จะมีลักษณะ Orthogonal กับความถี่ดั้งเดิมหรือชุดความถี่ฮาร์โมนิกของความถี่นั้นเช่นกัน เช่น Sin (2x) กับ Sin (3x) เป็น Orthogonal กันและเป็น Orthogonal กับ Sin(x) ด้วย เป็นต้น ซึ่งทำให้เราได้ชุดความถี่สำหรับแต่ละช่องสัญญาณที่เป็น Orthogonal ต่อกันได้ด้วยวิธีนี้นี่เอง ซึ่งเมื่อเราสามารถจัดให้ความถี่ในแต่ละช่องสัญญาณนั้นเป็น Orthogonal กันได้ ความจำเป็นที่จะต้องมีGuard band เพื่อป้องกันการรบกวนกันนั้นก็จะหมดไป ทำให้ใช้ความถี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ฟังดูอาจจะงงๆ ก็จะขออธิบายเป็นรูปแบบของกราฟง่ายๆเลยนะครับ จากรูป จะแสดงให้เห็นผลของการใช้สัญญาณความถี่ที่ไม่ orthogonal กันและผ่านการมอดูเลชันมาแล้ว จะพบว่า สัญญาณฮาร์โมนิกที่เกิดจากการมอดูเลชันจะเข้าไปกวนสัญญาณข้างเคียง ไม่สามารถที่จะแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด ทำให้ FDM จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี Guard band ระหว่างช่องสัญญาณ เพื่อป้องกันหรือลดทอนการรบกวนจากสัญญาณจากช่องสัญญาณรอบข้างดังกล่าวให้มากที่สุด

แต่สำหรับช่องสัญญาณที่ Orthogonal กันนั้น เมื่อผ่านการมอดูเลชันที่ทำให้เกิดสัญญาณ sideband รอบข้างขึ้นนั้น กลับไม่มีผลต่อช่องสัญญาณของอีกช่องสัญญาณซึ่งจะสังเกตได้จากความถี่กลางของช่องสัญญาณไม่มีสัญญาณรบกวนใดๆ เนื่องจากช่องสัญญาณนั้นเป็น Orthogonal กัน ซึ่งทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ Guard band มาช่วยป้องกันและทำให้สูญเสียสเปกตรัมความถี่ไปบางส่วนอย่างเปล่าประโยชน์ และทำให้การรับส่งสัญญาณความถี่นี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้อัตรา Throughput ที่สูงกว่านั่นเอง

และเมื่อได้ช่องสัญญาณ Orthogonal กันเช่นที่ความถี่ X, 2X, 3X kHz เราก็สามารถที่จะย้ายความถี่ไปด้วยวิธีการต่างๆ เช่นการ modulation ให้ไปยังความถี่อื่นที่ใช้รับส่งออกอากาศ เช่นที่ Y MHz สัญญาณ Y MHz+X kHz, Y MHz + 2X kHz เป็นต้น ก็ยังคงเป็น Orthogonal ต่อกันอยู่ และยังคงช่วยให้การใช้งานความถี่มีประสิทธิภาพสูงเช่นเคย

และเมื่อได้หลักการสร้างสัญญาณ OFDM มาแล้ว เราก็สามารถที่จะทำการสร้างสัญญาณที่แต่ละช่องสัญญาณเป็นอิสระต่อกันขึ้นได้ และโดยทั่วไปแล้ว การใช้งาน OFDM ที่เกิดขึ้นจะเป็นลักษณะของ Multi-carrier Communication ซึ่งจะช่วยในเรื่องของสัญญาณรบกวนต่างๆได้ดีกว่า โดยจะทำการกระจายสัญญาณออกเป็นหลายๆสายและส่งเข้าไปในแต่ละช่องสัญญาณเพื่อส่งออกอากาศอีกทีหนึ่ง ทำให้สัญญาณที่ออกไปมีคุณภาพดี และยังประหยัดความถี่จากประสิทธิภาพของ OFDM อีกด้วย แต่มักจะใช้กับสัญญาณของยูสเซอร์เพียงยูสเซอร์เดียว และให้หลายๆยูสเซอร์ใช้งานร่วมกันด้วยวิธี TDMA หรือFDMA ธรรมดาเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงมีการคิดค้น OFDMA ขึ้นมา โดยเราจะว่ากันต่ออีกทีครับ

แล้วทำไม เราจึงต้องการ IFFT สำหรับ OFDM ด้วยล่ะ?

สำหรับวิธีการของ OFDM ก็นับว่าน่าสนใจทีเดียว แต่ในทางปฏิบัตินั้น หากเราจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการสร้างสัญญาณ OFDM นั้น จำเป็นที่จะต้องใช้ความถี่หลายๆชุดด้วยกัน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ Oscillator หลายชุด วิธีนี้เรียกว่า Discrete Technology เป็นวิธีที่ค่อนข้างสิ้นเปลือง และมีขนาดใหญ่ ยากที่จะใช้งานในอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือการ์ด PCMCIA ได้ หากใช้วิธีนี้ โอกาสที่จะเห็นอุปกรณ์การสื่อสารขนาดเล็กเช่นไวไฟหรือไวแมกซ์ 802.16e ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้

ดังนั้น จึงได้ค้นหาวิธีที่จะทำให้การใช้งาน OFDM เป็นจริงขึ้นมาได้ และวิธีที่ว่านั้นก็คือ การใช้งาน IFFT หรือ Inverse Fast Fourier Transformซึ่งจะเป็นการใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์จนกระทั่งได้แซมปลิงสัญญาณที่ความถี่ต่างๆที่ Orthogonal กันออกมา จากนั้นจึงค่อยส่งออกอากาศไปนั่นเอง ซึ่งวิธีนี้จะประหยัดทั้งพลังงาน ขนาดเล็ก และง่ายต่อการออกแบบมากกว่า ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้งานมีขนาดเล็กและปยะหยัดพลังงานมากกว่า จึงเป็นวิธีที่นิยมใช้งานกันในปัจจุบัน

การกำจัดสัญญาณ Inter Symbol Interference

ในโลกแห่งการสื่อสารไร้สาย ปัญหาที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งก็คือ ปัญหาของ ISI หรือ Inter Symbol Interference ซึ่งเกิดจากสัญญาณคลื่นวิทยุได้วิ่งกระจายออกไปในหลายๆทิศทาง และมีการสะท้อนต่างๆนานา มารวมกันที่อุปกรณ์รับสัญญาณ ซึ่งทำให้เกิดการรบกวนของสัญญาณขึ้น ทั้งๆที่เป็นสัญญาณจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน หากแต่ระยะทางที่มากกว่าและการสะท้อนต่างๆทำให้สัญญาณที่สะท้อนนั้นมาถึงล่าช้าและได้กลายมาเป็นสัญญาณรบกวนได้

วิธีการที่ใช้ต่อสู้กับปัญหานี้ของ OFDM ก็คือการใช้ Cyclic Prefix วิธีการก็คือ นำเอาส่วนสุดท้ายของสัญญาณมาส่งออกไปก่อนเพื่อชิมลางและสะสมข้อมูลการเกิด ISI เพื่อที่จะสร้าง Equializer ที่เหมาะสมในการต่อสู้กับสัญญาณ ISI นั้น ซึ่งทำให้ OFDM สามารถที่จะแก้ไขปัญหา ISI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นการเสริมส่งข้อดีที่มีอยู่แล้วของ OFDM ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น

จาก OFDM สู่ OFDMA

และเมื่อเราต้องการที่จะใช้งาน OFDM สำหรับการรับส่งคลื่นวิทยุสำหรับหลายๆยูสเซอร์เช่นเดียวกับที่ FDM เคยเป็นมาแล้ว นั่นคือ FDM ก็กลายเป็น FDMA ฉะนั้น OFDM ก็กลายเป็น OFDMA

ยังครับ!!! อย่าพึ่งเดินหนีไปไหน หลายคนคงนึกด่าผมในใจไปแล้วว่า เล่นกันง่ายๆยังงี้เลยเหรอ แหม มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ มันก็มีรายละเอียดเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยครับ

ลักษณะของ OFDMA นั้น จะเป็นการแบ่งช่องสัญญาณย่อยหรือ Subcarrier ให้กับแต่ละยูสเซอร์ หากแต่การแบ่งนั้น จะเป็นลักษณะผสมผสานของTDMA และ FDMA นั่นก็คือ จะมีการเปลี่ยนแปลงช่องสัญญาณความถี่ย่อยตามเวลาที่เปลี่ยนไป โดยจำนวนของช่องสัญญาณแต่ละยูสเซอร์นั้นก็จะขึ้นกับคุณภาพการให้บริการหรือ QoS ที่ให้บริการนั้น

ข้อดีของการทำเช่นนี้ก็คือ มันจะช่วยกระจายความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากสัญญาณรบกวน โดยเฉพาะสัญญาณรบกวนแบบ Narrow band interferenceได้ดี หากเกิดการรบกวนขึ้น สัญญาณที่หายไปก็จะเป็นเพียงแค่ส่วนย่อยและชั่วคราวเท่านั้น สามารถที่จะแก้ไขได้ด้วยวิธีการอื่น เช่น การใช้ Error Codingเป็นต้น ทำให้คุณภาพสัญญาณที่มีนั้นดีขึ้น อีกทั้งทำให้สามารถที่จะใช้ทรัพยากรความถี่ร่วมกันหลายๆยูสเซอร์ได้

และสำหรับท่านที่สนใจเทคโนโลยีไวแมกซ์ 802.16e จะใช้งานเทคโนโลยี S-OFDMA (Scalable OFDMA) ซึ่งข้อแตกต่างของมันก็คือ จำนวนช่องสัญญาณย่อยที่ใช้งานกับยูสเซอร์ทั้งหมดสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้ เนื่องจากในการใช้งาน 802.16e นั้น จะเป็นลักษณะแบบเคลื่อนที่ มีการ Hand off ระหว่างสถานี และอาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนช่องสัญญาณที่มีไปได้ อีกทั้งในแต่ละประเทศ ก็จะมีจำนวนแบนด์วิธให้ใช้งานไวแมกซ์ไม่เท่ากัน ดังนั้น จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนช่องสัญญาณย่อยไปตามสภาพแวดล้อม โดยที่ระยะระหว่างช่องสัญญาณยังคงเดิมอยู่ที่ 10.94 kHz เพื่อเป็นการรักษาOrthogonality ไว้นั่นเอง

ครับ เป็นอย่างไรบ้างครับ พอจะทำให้คุ้นเคยกับเทคโนโลยีนี้มากขึ้นไหมครับ เพราะเทคโนโลยีนี้เป็นเทรนด์ของเทคโนโลยีใหม่ๆไร้สายที่จะเกิดขึ้นมาอีกมากมาย ทั้งเทคโนโลยีไวแมกซ์ที่เรากำลังจะได้เห็นกันเร็วๆนี้ (แต่ประเทศไทยคงต้องรออีกสักนิดครับ ) เทคโนโลยี LTE ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับ 4Gที่จะเกิดขึ้นต่อไป 802.11n ที่เป็นไวไฟโฉมใหม่ที่อาจจะพลิกวงการสื่อสารไร้สายไปเลยก็ได้ เป็นต้น ดังนั้น ก็คงจะดีกว่า ถ้าเรารู้จักกับมันไว้เสียแต่เนิ่นๆ จะได้ทำความเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ๆได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ครับ มาถึงตรงนี้ ก็คงต้องจบลงแค่นี้ครับ ไว้คราวหน้า จะนำเสนอเทคโนโลยีอื่นๆที่น่าสนใจต่อไป

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Mobile Communication #2 Wireless Transmission

Frequency of Transmission

การสือสารไร้สาย จำเป็นที่จะต้องอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งผ่านข้อมูล ดังนั้นเราจำต้องมารู้จักกับความถี่ โดยปกติความถี่จะถูกแบ่งแยกออกเป็นหลายประเภท โดย ITU ซึ่งจะแบ่งแยกกันตามความถี่ มีหลายความถี่ แต่ที่เราจะสนใจในการสื่อสารไร้สาย มีอยู่ด้วยกัน 4 ย่านความถี่ คือ

1. VHF : Very High Frequency 30–300 kHz 100 km – 10 km

2. UHF : Ultra High Frequency 300–3000 kHz 10 km – 1 km

3. SHF : Super High Frequency 3–30 GHz 100 mm – 10 mm

4. EHF : Extra High Frequency 30-300 GHz 10 mm – 1 mm

เนื่องจากความถี่ทั้งสองย่านนี้ เหมาะแก่การนำไปใช้งานในชีวิจประจำวัน เพราะ ใช้ขนาดของสายอากาศไม่ยาวจนเกินไป และคลื่นมีอำนาจในการทะลุทะลวงได้ค่อนข้างดี ทำให้สื่อสารได้ระยะทางที่ไกล และใช้กำลังส่งได้กำลังพอเหมาะ ทำให้ความถี่ทั้ง 2 ย่านเป็นที่นิยมกันในระบบสื่อสารไร้สาย

ส่วนความถี่ที่สูงกว่านี้ เช่นในย่านของ SHF นั้น จะใช้ในการสื่อสารผ่านดาวเทียม หรือในพวก WLAN เนื่องจากต้องการส่งข้อมูลที่มี Bandwidth มาก --> จึงต้องใช้ความถี่สูง แต่ถ้าความถี่สูงมาก ก็จะไปได้ใกล้ เปลืองกำลังส่ง และวงจรซับซ้อนข้ึน

ในอนาคต WLAN มีแนวโน้มที่จะใช้ความถี่ในช่วงของ EHF เพื่อเพิ่มขนาดของ Bandwidth แต่ก็มีปัญหาในเรื่องของ การถูกซึมซับ (Absorption) โดยความชื้นหรือน้ำในอากาศ โดยที่ อากาศแห้งจะสื่อสารได้ไกล กว่า อากาศชื้น

องค์กรที่กำหนดมาตราฐานเกี่ยวกับความถี่ นั้นคือ ITU (International Telecommunication Union) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 หน่วยงานย่อยคือ

ITU-R --> Radio กำหนดในช่วงคลื่นวิทยุเป็นหลัก ช่วงคลื่นวิทยุ คือ VHF/UHF

ITU-T --> Telecommunication กำหนดช่วงความถี่อื่นๆ


สายอากาศ (Antenna) แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ตามลักษณะการกระจายสัญญาณคือ

- Omni-Directional : คือสายอากาศที่กระจายไปทุกทิศทางเท่าๆกัน

- Directional : คือสายอากาศที่กระจายไปยังทิศทางที่กำหนดไว้


การเดินทางของคลื่นสัญญาณ

สามารถแบ่งออกไดเป็น 3 ส่วน ด้วยกันคือ

1. Transmission Range : สามารถสื่อสารกันได้ ผิดพลาดน้อย

2. Detection Range : สามารถตรวจสอบการมีอยู่ของสัญญาณได้ แต่ไม่สามารถส่งข้อมุลได้

3. Interference Range : ตรวจสอบสัญญาณไม่พบ และมีสัญญาณรบกวนอื่นๆมากด้วย


ระหว่างการเดินทางของคลื่นสัญญาณผ่านตัวกลางที่เป็นอากาศ อาจจะต้องพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ ทำให้รูปแบบของสัญญาณ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ ซึ่งเป็นคุณลักษณะของคลื่นที่เดินทางผ่านอากาศได้แก่

1. Fading : การจางหายของสัญญาณ

2. Shadowing : การซึมซับของพื้นผิว เช่น กำแพง ดูดสัญญาณ

3. Reflection : การสะท้อนของคลื่น

4. Refraction : การเลี้ยงเบนของคลื่น

5. Scattering : การแตกกระเจิงของคลื่น

6. Diffraction : การแตกกระจายของคลื่น


จากปรากฎการณ์ที่ได้กล่าวไปใน 6 ข้อ นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา Multipath Propagation ตามมา เนื่องจากการสื่อสารแบบไร้สายนั้นสัญญาณสามารถเคลื่อนที่ออกไปได้ทุกทิศทาง จากต้นทางไปยังผู้รับ ซึ่งเส้นทางที่สั้นที่สุดคือเส้นทางที่เป็นเส้นตรง(ระยะกระจัด) ซึ่งเราจะเรียกว่า LOS (Line of Sight) จะเป็นสัญญาณแรกที่ไปถึงผู้รับได้ ซึ่งสัญญาณนี้จะมีความแรงของสัญญาณสูงที่สุด นอกจากนี้ระหว่างทางอาจเจอการสะท้อน เลี้ยวเบน แตกกระเจิงต่างๆ ทำให้มีสัญญาณเดิม แต่เดินทางมาคนละที่ ทำให้ถึงคนละเวลากันได้ เปรียบเสมือนกับการ Echo ของลำโพงนั่นเอง

Media ประเภทต่างๆ

Introduction to OSI Model

ในปี 1983 องค์กรมาตราฐานสากล International Standards Organization (ISO) ได้กำหนดมาตราฐาน OSI Model ขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า X.200 Model เพื่อใช้เป็นมาตราฐานในการส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย OSI นั้น ย่อมาจาก Open System Interconnection ประกอบด้วย ชั้น(layer)ต่างๆ 7 เลเยอร์ ซึ่งจะทำงานแยกกันโดยชัดเจน แต่ละเลเยอร์ไม่เกี่ยวข้องกัน เลเยอร์ที่อยู่ต่ำกว่า จะให้บริการเลเยอร์สูงกว่า และนอกจากนี้ OSI ยังจัดได้ว่าเป็นระบบเปิด "Open System" นั่นคือ เป็นมาตราฐานกลางอย่างแท้จริง ไม่ขึ้นอยู่กับยี่ห้อผลิตภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ เนื่องจากแต่เดิมได้มีมาตราฐานเกี่ยวข้องกับการสื่อสารอยู่มาก ซึ่งแต่ละมาตราฐานนั้นจัดได้ว่าเป็น Propitary ซึ่งต้องเป็นอุปกรณ์ยี่ห้อเดียวกันเท่านั้นจึงจะสื่อสารกันได้ เช่นของ บริษัท IBM , Novell เป็นต้น ทำให้ผู้บริโภคต้องรับภาระในการซื้ออุปกรณ์ยี่ห้อเดียวกันตลอด มิเช่นนั้นจะไม่สามารถใช้งานได้

กล่าวถึงประวัติของอินเตอร์เน็ต
ในช่วงปี 1969 ช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ทางกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ(DoD) ในสมัยนั้นได้จัดตั้งหน่วยงานหนึ่งขึ้น ชื่อ ARPA (Advance Research Projects Agency) เพื่อวิจัยสิ่งต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ การที่สหรัฐต้องการที่จะตืดต่อสื่อสารข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากหน่วยบัญชาการ ไปยังกองทัพ เพือให้สามารถสั่งโจมตีได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง โดยที่ถ้าหากการสื่อสารช่วงหนึ่งช่วงใด ขาดหายไปหรือไม่สามารถติดต่อได้ จำเป็นต้อง หาเส้นทางอื่นเพื่อให้สามารถส่งต่อไปยังปลายทางได้ตลอดเวลา โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัย 4 มหาวิทยาลัย นั่นคือ
1.University of California at Los Angeles
2.University of California at Santa Barbara
3. Standford Research Institute
4.University of Utah
โดยแต่ละมหาวิทยาลัยคือ โหนดๆหนึ่งที่ใช้สำหรับส่งข้อมูล ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "IMP" Interface Message Processor เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับโหนดอื่นๆ และเกิดโปรโตคอลแรกขึ้นในโลก ชื่อ "NCP" Network Control Protocol เพื่อใช้ในการส่งข้อมูลแต่ละโหนดขึ้น หลังจากนั้นก็ได้มีวิวัฒนาการจากองค์กร ARPANET ก็ได้พัฒนาโปรโตคอลที่ใช้สื่อสารมาเรื่อยๆ จนมาเป็น TCP/IP ในปัจจุบัน